1. ไหมร้อยหน้ามีกี่ประเภท
ในปัจจุบันนี้เทคนิค การร้อยไหม เป็นที่นิยมมากเนื่องด้วยเป็นวิธีการที่เห็นผลการยกกระชับที่รวดเร็วหลังการทำหัตถการทันทีและมีการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง โดยที่ไม่ต้องรอการพักฟื้น
ซึ่งไหมร้อยหน้าจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท
1.1 ไหมไม่ละลาย : เป็นเส้นไหมที่นิยมมากในสมัยก่อนที่ทำจากวัสดุต่างๆ เช่น ทองคำ, พลาสติก เป็นต้น ซึ่งวัสดุเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความคงทนที่สูง แต่ก็มีข้อเสียที่ไม่สามารถ ผ่านเครื่อง CT-scan, เครื่อง MRI หรือ เครื่อง X-ray ได้เพราะไม่สามารถทนความร้อนสูงได้ ซึ่งอาจส่งผลทำให้บริเวณที่มีการร้อยไหมอาจบิดเบี้ยว หรือหย่อนคล้อยลงได้ และที่สำคัญวัสดุเหล่านี้ไม่สามารถละลายได้เองตามกระบวนการสลายของร่างกาย ทำให้ในปัจจุบันไม่นิยมนำมาร้อยกันแล้ว
ไหมทองคำ
1.2 ไหมละลาย : เป็นเส้นไหมที่ผลิตจากวัสดุที่สามารถสลายได้ตามกลไกของร่างกาย ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างที่จะหลงเหลือในร่างกายได้ โดยวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิต เช่น Polydioxanone (PDO), Poly-L-Lactic acid (PLLA), Polycaprolactone (PCL) เป็นต้น ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดก็จะมีอัตราการสลายและความคงทนที่แตกต่างกันออกไป
ไหม PDO มีสีน้ำเงินอมม่วง มีความยืดหยุ่นที่สูง และมีอายุเฉลี่ยในการสลายประมาณ 6-8 เดือน
ไหม PLLA มีความแข็งมาก สีใส และมีอายุเฉลี่ยในการสลายประมาณ 12 เดือน
ไหม PCL มีสีขาว มีความแข็งแต่ก็ยืดหยุ่นได้ และมีอายุเฉลี่ยในการสลายประมาณ 12-24 เดือน
2. ลักษณะของเข็มที่ใช้ร้อยไหมแต่ละชนิด
การที่จะนำส่งเส้นไหมเข้าสู่ร่างกายของเราได้นั้น ก็ต้องพูดถึงเข็มที่นำมาใช้ในการร้อยไหมแต่ละชนิด ซึ่งมีความความจำเพาะ และเหมาะสมกันออกไปในแต่ละบริเวณ
2.1 เข็มแบบหัวแหลม (S-type) : มีความสามารถในการตัดผ่านเนื้อเยื่อได้ดีมาก แต่ก็อาจทำให้เกิดบาดแผล และเลือดออกภายในจนเกิดอาการช้ำได้ง่าย
2.2 เข็มแบบกึ่งทู่ (L-type) : มีความสามารถในการทะลุผ่านเนื้อเยื่อได้ดี อาจมีการทำให้เลือดออกได้บ้างส่งผลให้เกิดการเขียว ช้ำ ได้น้อย
2.3 เข็มแบบทู่ (W-type) : มีความสามารถในการทะลุผ่านเนื้อเยื่อได้ดี แทบจะไม่ทำให้เกิดการเลือดออก จนเขียว ช้ำจากภายในเลยจึงทำให้เป็นที่นิยมมาก
2.4 เข็มแบบยู (U-cannula) : เป็นหัวเข็มที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา สามารถทะลุผ่านเนื้อเยื่อได้ดี แทบจะไม่ทำให้เกิดการเลือดออก จนเขียว ช้ำจากภายใน
2.5 เข็มแบบเอ (A-cannula) : เป็นหัวเข็มที่ถูกออกแบบมาแบบพิเศษ เพื่อใช้กับการใช้บริเวณจมูกโดยเฉพาะ ทะลุผ่านเนื้อเยื่อได้ดี และลดความเสียหายต่อเส้นเลือดบริเวณนั้น จึงเกิดอาการเขียว ช้ำ ได้น้อย
3. ประโยชน์ของ การร้อยไหม มีกี่ด้าน
การร้อยไหมนั้นที่จริงแล้วมีประโยชน์ที่มากมายหลายด้านมากกว่าที่คนเข้าใจกัน เพราะลักษณะของเส้นไหมที่ถูกผลิตขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
3.1 การร้อยไหมเพื่อยกกระชับ ปรับรูปหน้า V : จะใช้เส้นไหมที่มีขนาดใหญ่และมีเงี่ยง (Cog thread) เพื่อการเหนี่ยวรั้ง รับน้ำหนักของเนื้อเยื่อ และล๊อคไม่ให้เนื้อเยื่อที่ทำการดึงยกกระชับหลุดออกได้ง่าย โดยจะเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังร้อยเสร็จ และจะมีการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินตามแนวการร้อยไหมอีกด้วย
3.2 การร้อยไหมเพื่อกระตุ้นหน้าใส : จะใช้ไหมเส้นเล็ก (Mono thread) ผิวเรียบที่มีส่วนผสมในการปรับผิวขาว จึงทำให้ผลลัพธ์ที่นอกจากช่วยการกระตุ้นสร้างคอลลาเจนแล้วยังช่วยทำให้บริเวณที่ร้อยมีความขาวเพิ่มขึ้น โดยจะเห็นผลลัพธ์หลังการร้อย 2-3 สัปดาห์
3.3 การร้อยไหมจมูกเพื่อให้สันคมชัด : จะใช้ไหมเส้นใหญ่ หรือไหมเส้นเล็กหลายเส้นเพื่อการเติมเต็มสันจมูกทันทีหลังการร้อยแล้วจะมีการสร้างคอลลาเจนตามแนวที่มีการร้อย
4. การร้อยไหม ชนิดไหนยกกระชับได้ดีที่สุด
ไหมที่มีเงี่ยง เพราะไหมลักษณะนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อการดึง เหนี่ยวรั้ง ล๊อค และการรับน้ำหนักโดยเฉพาะ จึงทำให้ผลลัพธ์ที่เกิดจากไหมชนิดนี้ยกกระชับได้ดีที่สุด
5. ไหมชนิดไหนนิยมใช้ร้อยหน้ามากที่สุด
ถ้าพูดถึงความนิยมมากที่สุดในตลาดการร้อยไหมนั้นมักจะเป็น การร้อยไหมเพื่อปรับรูปหน้า เพราะอายุที่มากขึ้น และมลภาวะที่รับมาในทุกวันทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อยลงมา ผลลัพธ์จากการร้อยไหมปรับรูปหน้าโดยใช้ไหมแบบเงี่ยงจึงตอบโจทย์มากที่สุดเพราะช่วยให้ดูเด็กลงและปรับรูปหน้าทรง V ได้ตามค่านิยม แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัญหา และความต้องการของลูกค้าด้วยว่าเรามีปัญหาตรงไหนก็แก้ไขตามปัญหานั้นๆ เช่น มีร่องลึกมากก็ใช้ไหมแบบสกูลมาเติมเต็ม, ใบหน้าหมองคล้ำก็ใช้เส้นไหมขนาดเล็กที่มีการเติมสารเพิ่มความขาวลงไป, มีปัญหาที่สันจมูกไม่คมก็ใช้ไหมเส้นใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อการยกสันจมูก หรือมีปัญหาหนังตาตกใช้ไหมแบบมีเงี่ยงที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกกระชับและเก็บรอยข้างดวงตาได้
6. การยกกระชับของไหม ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
การยกกระชับของไหมนั้น จะดีแค่ไหนจะขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นไหม ว่ามีความใหญ่เพียงพอที่จะรับน้ำหนักของเนื้อเยื่อที่ยกขึ้นไปได้หรือไม่ และเงี่ยงที่ถูกออกแบบมีเพื่อการโกยและเหนี่ยวรั้ง รวมถึงการล๊อคเนื้อเยื่อขึ้นไปเก็บซึ่งก็ต้องดูว่าเงี่ยงนั้นมีขนาดใหญ่เพียงพอหรือไม่ และในปัจจุบันมีการผลิตไหมที่เป็นรูปแบบของเงี่ยงอยู่ 2 แบบ
6.1 ไหมแบบตัด : ไหมแบบนี้จะถูกผลิตออกมาเป็นแบบเส้นเรียบก่อนแล้วจึงนำมาตัดเป็นเงี่ยงด้วยเลเซอร์จึงทำให้ความหนาของเส้นไหมเล็กลงตามไปด้วยแต่ก็จะมีร่องที่เกิดจากการตัดมาช่วยเหนี่ยวรั้งเนื้อเยื่อที่ยกขึ้นไปได้
6.2 ไหมแบบหล่อ : ไหมแบบนี้ถูกผลิตโดยการสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นรูปแบบที่ต้องการก่อนที่จะเติมวัสดุที่ต้องการลงไปในแม่พิมพ์ขึ้นรูปแบบไหมขึ้นมาจึงทำให้ไม่สูญเสียพื้นที่ของเส้นไหมไปกับการตัดเพื่อให้เกิดเงี่ยง
นอกจากนี้ยังรวมถึงเทคนิคและความเชี่ยวชาญของแพทย์ แต่ละบุคคลด้วยว่าถนัดการร้อยไหมรูปแบบไหน เพราะจะมีการร้อยไหมที่แตกต่างกันออกไป
7. รูปภาพรีวิว การร้อยไหม
7.1 การร้อยไหมเพื่อยกกระชับ ปรับรูปหน้า V
7.2 การร้อยไหมคอลลาเจนและเพิ่มความขาว
7.3 การร้อยไหมจมูก