ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้?
ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้?

ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้ ?

การร้อยไหม เป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี แพร่หลายสู่ยุโรป อเมริกา รวมทั้งประเทศไทย จากข้อจำกัดในอดีตของการปรับรูปหน้าและยกกระชับทำได้เพียงการผ่าตัดดึงหน้า ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเละมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนา นวัตกรรมการร้อยไหมละลาย เข้ามาช่วยในการปรับรูปหน้าเรียวเข้ารูป บทความนี้จะมาให้คำตอบว่า การร้อยไหม ทำไมถึงเป็นหัตถการที่ปลอดภัย และมั่นใจได้

สารบัญ

วิวัฒนาการการ ร้อยไหม ในทางการแพทย์

 พ.ศ. 2503 ไหมมีการพัฒนาจนพบวัสดุที่ย่อยสลายได้เอง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงระยะยาว ไหมละลายที่ใช้ในปัจจุบันมีวิวัฒนาการ ดังนี้

  • ไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2513 ใช้ในการทำศัลยกรรมเย็บเนื้อเยื่อหัวใจ เส้นเลือด และเย็บบาดแผลต่างๆทั่วร่างกาย สลายหมดภายใน 6 เดือน ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในและต่างประเทศ (FDA)
  • ไหม PLLA (Poly L-Lactic acid) ไหมละลายที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 2 ปี เมื่อย่อยสลายแล้วจะได้อนุพันธ์ของ Lactic Acid กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจน ได้ดีกว่าไหมชนิดอื่น แต่มีข้อจำกัดคือค่อนข้างแข็งและเปราะง่าย ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในและต่างประเทศ (FDA)
  • ไหม PCL (Polycaprolactone) ไหมที่มีลักษณะคล้ายยางยืดหยุ่นได้ดี ย่อยสลายนานถึง 2-3 ปี ถูกนำมาทำเป็นไหมที่มีการผสมผสานสารสำคัญต่อผิว เช่น วิตามินซี growth factors เพื่อช่วยให้ผิวกระจ่างใสและเสริมสร้างคอลลาเจน รับรองความปลอดภัยจาก FDA และสหภาพยุโรป (CE mark)

การร้อยไหม ที่ได้รับมาตรฐานการรับรอง

การร้อยไหมที่ปลอดภัยนั้น ผลิตภัณฑ์ไหมจะต้องได้รับมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา (Thai FDA)  USFDA   KFDA   ISO13485   CE    GMP   เป็นต้น

ปัจจัยสำคัญด้านความปลอดภัยในการ ร้อยไหม

  1. ประเภทของไหม
    • มาตรฐานการรับรอง เลือกใช้ไหมที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
    • ไหมชนิดละลาย เช่น PDO (Polydioxanone), PLLA (Poly-L-lactic acid), หรือ PCL (Polycaprolactone)
  2. คลินิกที่ได้รับอนุญาต
    • ต้องเป็นคลินิกที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีใบอนุญาตประกอบกิจการ และมาตรฐานการรักษาที่ชัดเจน
  3. แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • ควรเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการร้อยไหม และผ่านการอบรมเฉพาะทางในการร้อยไหมอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
  4. การคัดกรองข้อห้าม
    • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น ตั้งครรภ์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเลือดผิดปกติ  ผู้ป่วยHIV และมะเร็ง ผู้ป่วยผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการร้อยไหม
  5. การดูแลหลังการ ร้อยไหม
    • การดูแลหลังการร้อยไหม เช่น หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือกดใบหน้าในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ และ การนัดติดตามผล และการรับประทานยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง

ผลข้างเคียงปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หลังการร้อยไหม

การร้อยไหม จัดเป็นหัตถการที่คล้ายกับการผ่าตัดเล็ก ทำให้เกิดแผลใต้ผิวในช่วงแรก อาจมีผลข้างเคียงที่สามารถเกิดได้ตามปกติ และจะหายเป็นปกติเอง ดังนี้

  • มีอาการปวด บวม หรือเสียวเล็กน้อย แต่จะค่อยๆหายไปภายใน 7-14 วัน
  • อาจมีเลือดซึมออกบริเวณที่แทงเข็ม หรือทำการร้อยเข้าไป
  • ขณะทำหรือหลังทำหัตถการจะรู้สึกตึงเส้นไหมที่ถูกร้อยเข้าไปบนใบหน้า
  • อาจมีอาการตึงผิวหน้ามากทำให้หลังร้อยไหมอ้าปากไม่สุด ไม่สบายหน้า ความตึงจะค่อยๆ ดีขึ้นในสัปดาห์แรก และจะรู้สึกตึงมากสุดแค่ช่วง 1-3 วันหลัง การร้อยไหม
  • จะรู้สึกคลำได้เป็นลำตามแนวไหมในช่วงแรก เนื่องจากเป็นอาการบวมของแผลใต้ผิว แต่จะค่อยๆ เรียบหายเป็นปกติ

ผลข้างเคียงหลังการร้อยไหมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

  • ผิวบวมแดง มีหนองบริเวณที่ร้อยไหม เกิดจากการติดเชื้อที่ใช้ไหมไม่ได้มาตรฐาน
  • ไหมทะลุ ไหมโผล่ออกมาให้เห็นนอกผิว เกิดจากแพทย์ซ่อนปมของไหมไม่ดีทำให้ปลายไหมโผล่ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • หลังร้อยไหมใบหน้าบวมขึ้นเรื่อยๆอย่างรุนแรง ประคบเย็นแล้วไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากท่อน้ำลายขาด ควรรีบพบแพทย์
  • ผิวไม่เรียบเนียน ผิดรูป หรือเป็นคลื่น จากเทคนิคการร้อยไหมที่ไม่ถูกต้อง

สรุป

ร้อยไหม ไม่อันตราย และ ถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัย เห็นผลทันที ถ้าหากร้อยด้วยวิธีที่ถูกต้อง และใช้ไหมละลายที่ผ่านการรับรองจาก อย. รวมไปถึงเทคนิค และ ประสบการณ์ของแพทย์ จัดเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยทั่วไปเส้นไหมจะประคองผิวได้ประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ร้อย  เมื่อเวลาผ่านไป เส้นไหมก็จะละลายไปโดยไม่เป็นอันตราย การร้อยไหม ด้วยเทคนิคที่ถูกต้องจะเกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ช่วยประคองผิวคล้ายกับเส้นเอ็นที่มีอยู่ตามธรรมชาติของร่างกาย

สนใจสินค้า K2 PLUS สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ที่ 061-5325495 หรือ กดเเอด Line ด้านล่างได้เลยค่ะ

เรื่องล่าสุด

Collagen Biostimulator คืออะไร? ใช้แล้วเห็นผลนานแค่ไหน? ไขข้อสงสัยที่หลายคนอยากรู้!
BIOSTIMULATOR

Collagen Biostimulator คืออะไร? ใช้แล้วเห็นผลนานแค่ไหน? ไขข้อสงสัยที่หลายคนอยากรู้!

Collagen Biostimulator เป็นนวัตกรรมใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในด้านความงาม ด้วยจุดเด่นที่สามารถฟื้นฟูผิวลึกถึงระดับเซลล์ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรง กระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น

5 วิธีเพิ่ม คอลลาเจน ผิวหน้า ให้ผิวกระชับ ลดริ้วรอย ร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ
BIOSTIMULATOR

5 วิธีเพิ่มคอลลาเจนผิวหน้า ให้ผิวกระชับ ลดริ้วรอย ร่องลึกอย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นผิวพรรณก็ต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การผลิตคอลลาเจนลดลงจนผิวขาดความกระชับ หย่อนคล้อย ดูหมองคล้ำ ไม่สดใส แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ได้ไม่ว่าจะเป็นวิธีการดูแลตัวเองหรือหัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยเพิ่มคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

PLLA คืออะไร? ทำไมถึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และให้ผลลัพธ์ยาวนาน?
BIOSTIMULATOR

PLLA คืออะไร? ทำไมถึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจน และให้ผลลัพธ์ยาวนาน?

ในวงการความงาม PLLA (Poly L-lactic acid) กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้อย่างล้ำลึก