ไขความลับ! ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ดูแลรักษายังไง ? ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

ไขความลับ! ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ดูแลรักษายังไง ? ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

ไขความลับ! ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ดูแลรักษายังไง ? ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ เม็ดสีผิว (melanin pigment) ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสี UV ถูกสร้างขึ้นภายในออร์แกเนลล์ที่มีชื่อว่าเมลาโนโซม

สารบัญ

ไขความลับ! ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ดูแลรักษายังไง ? ไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

กระบวนการสร้างเม็ดสี (Melanogenesis)

       เม็ดสีผิว (melanin pigment) ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสี UV ถูกสร้างขึ้นภายในออร์แกเนลล์ที่มีชื่อว่าเมลาโนโซมซึ่งอยู่ภายในเซลล์เมลาโนไซต์ภายในเมลาโนโซมมีเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมการสร้างเม็ดสีผิว โดยการเปลี่ยน Tyrosine เป็น DOPA และเปลี่ยน DOPA ไปเป็น Dopaquinone หลังจากนั้นจะเกิด auto-oxidation ได้เป็นเม็ดสีผิว โดยเซลล์เมลาโนไซต์จะมีส่วนรยางค์ยื่นไปสู่เซลล์เคราติโนไซต์ทำหน้าที่ขนส่งเม็ดสีผิวขึ้นมายังบริเวณผิวหนังชั้นหนังกำพร้า

เม็ดสีผิวแบ่งออกเป็น 2 ชนิด

  • Eumelanin เป็นเม็ดสีผิวที่มีสีน้ำตาลหรือดำ
  • Pheomelanin เป็นเม็ดสีผิวที่มีสีแดงอมเหลือง
ไขความลับ! ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ ดูแลรักษายังไง img2

จุดด่างดำ (Hyperpigmentation)

       คือลักษณะผิวหนังที่มีสีเข้มกว่าผิวบริเวณใกล้เคียง เป็นปัญหาผิวที่เกิดขึ้นจากการทำงานที่ผิดปกติในการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ที่ใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เซลล์เม็ดสีเกิดการกระจุกรวมตัวกันมากกว่าปกติในบางจุด ส่งผลให้สีผิวบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นกว่าผิวบริเวณรอบๆ โดยมีสาเหตุหลายอย่าง เช่น พันธุกรรม แสงแดด หรืออาจเกิดจากสิวอักเสบหรือสิวอุดตันที่ทิ้งรอยไว้

  • ลักษณะจุดที่ด่างดำเกิดจากฝ้า จะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน เพิ่มระดับไปจนเข้ม เกาะกลุ่มเป็นกระจุก
  • ลักษณะจุดที่ด่างดำเกิดจากกระ จะเป็นจุดเล็กๆ กลมๆ เห็นเส้นขอบชัดเจน และกระจายอยู่ทั่วใบหน้าโดยเฉพาะบริเวณแก้ม
  • ลักษณะจุดด่างดำจากสิว จะมีรอยคล้ำเป็นวงกลมหรือตามรูปสิว ซึ่งยิ่งมีอาการอักเสบรุนแรงสีของรอยดำก็จะยิ่งเข้มมาก

ฝ้า ( Melasma หรือ Chloasma )

       ลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลถึงดำเรียบไปกับผิว โดยจะมีสีเข้มกว่าสีผิวปกติรอบข้าง ขอบเขตไม่สม่ำเสมอ เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังทำงานมากขึ้นกว่าปกติและจำนวนเซลล์เมลาโนไซต์เพิ่มมากขึ้น เม็ดสีจึงถูกสร้างออกมามากกว่าเดิม ในผิวหนังจึงมีเม็ดสีหรือเมลานินมากขึ้น การเกิดฝ้าไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อร่างกาย และฝ้าไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิด แต่มักจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ พบมากบริเวณที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ เช่น โหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง หน้าผาก ขมับ เหนือริมฝีปาก และจมูก โดยมักมีเท่ากันทั้ง 2 ข้าง และยังพบได้บริเวณคอ ไหล่ แขน หน้าอก และหลัง พบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และส่วนใหญ่เริ่มพบในวัยกลางคนอายุประมาณ 30-40 ปี โดยฝ้าแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด

ฝ้า ( Melasma หรือ Chloasma )
  • ฝ้าตื้น (Epidermal type) เป็นฝ้าที่อยู่ในระดับชั้นหนังกำพร้าหรือผิวชั้นนอก ฝ้าชนิดนี้จะเป็นสีน้ำตาล มีเส้นขอบชัด เกิดขึ้นได้ง่าย มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี สามารถรักษาให้หายได้และใช้เวลาไม่นาน
  • ฝ้าลึก (Dermal type) เป็นฝ้าที่อยู่ในระดับลึกกว่าชั้นหนังกำพร้า คืออยู่ในชั้นหนังแท้ ด้วยความลึกจึงทำให้เกิดการแสดงของสีออกมาเป็นสีน้ำตาลอมฟ้าหรือสีน้ำตาลอมม่วง และมีขอบไม่ชัด เป็นฝ้าที่รักษาได้ยากและใช้เวลานาน
  • ฝ้าผสม (Indeterminate type) เป็นฝ้าที่พบได้บ่อยที่สุดในสามกลุ่มนี้ โดยมีทั้งปื้นสีน้ำตาลและสีน้ำตาลอมฟ้าหรือม่วง และตอบสนองแค่ต่อการรักษาบางอย่าง
ฝ้า 2 ( Melasma หรือ Chloasma )

       นอกจากนี้ยังมีฝ้าเลือด (Telangiectatic melasma) ที่ไม่ได้เกิดจากการสร้างเม็ดสีผิดปกติ แต่เกิดจากเส้นเลือดฝอยบริเวณใบหน้าขยายตัวผิดปกติ โดยมักเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนรวมถึงการใช้ยาฮอร์โมนรูปแบบต่างๆ และมักมีผิวแดงง่ายเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด

กระ (Freckle)

       จุดเล็กๆ สีน้ำตาลที่กระจายอยู่บนใบหน้า ซึ่งเกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของเม็ดสีเมลานิน สร้างเซลล์เม็ดสีที่มากเกินไป มักเกิดขึ้นบริเวณโหนกแก้ม จมูก หรือตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย และมักเกิดขึ้นกับคนที่มีลักษณะผิวขาวมากกว่าคนผิว กระไม่สามารถหายเองได้ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่รักษา กระก็อาจจะกระจายตัวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก

กระ (Freckle)

กระตื้น (Ephelis)

       มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัดขนาด 2-3 มิลลิเมตร เห็นชัดเมื่อโดนแสงแดดกระทบ มักพบได้บริเวณที่สัมผัสแสงแดด มักพบในชาวยุโรป พบมากบริเวณโหนกแก้ม จมูก มีสาเหตุหลักจากพันธุกรรม

กระตื้น (Ephelis)

กระลึก (Freckle)

       มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ คล้ายกับกระตื้นแต่จะมีสีเข้มกว่า คือมีสีน้ำตาลเข้มหรือสีออกเทาดำ ขับเขตไม่ชัด ขนาด 2-3 มิลลิเมตร มักพบที่โหนกแก้มและจมูก สีจะค่อยๆเข้มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และจะยิ่งมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด พบมากในหมู่คนเอเชีย มีสาเหตุหลักจากพันธุกรรมเช่นเดียวกัน

กระลึก (Freckle)

กระแดด (Lentigo, Lentigines, Liver spots, Sunspots)

       ลักษณะเป็นจุดหรือเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อน ขอบเขตชัด ขนาด 0.3-2 ซ.ม. มักพบบ่อยบริเวณใบหน้า ลำตัว ซึ่งมักเจอในกลุ่มคนสูงอายุ คนผิวขาวจัด มีสาเหตุหลักจากแสงแดดและการอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน

กระแดด (Lentigo, Lentigines, Liver spots, Sunspots)

กระเนื้อ (seborrheic keratosis)

       เนื้องอกของผิวหนัง ลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็ก ผิวขรุขระ สีน้ำตาลอ่อนจนไปเข้มและดำ มักพบบริเวณใบหน้า คอ แขน และลำตัว เกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังที่ผิดรูปแบบไป ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้กรรมพันธุ์และอายุที่มากขึ้น

ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้า กระ

  • แสงแดด
    เป็นเป็นสาเหตุหลักๆ ของการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ เพราะสิ่งที่มาพร้อมกับแสงแดดคือรังสี UVA UVB โดยเฉพาะช่วง 10.00-14.00 น. ที่แสงยูวีจะแรงมากอันตรายต่อผิวหนังและดวงตา เพราะรังสียูวีในแสงแดดก่อให้เกิดอนุมูลอิสระจำนวนมากซึ่งอาจไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสีให้ทำงานเพิ่มขึ้นมาก เกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำตามมาในที่สุด นอกจากแสงแดดแล้ว แสงสีฟ้าจากจอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน ก็กระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้เช่นกัน
  • พันธุกรรม
    มีรายงานว่าพันธุกรรมส่งผลต่อฝ้าและกระได้ถึงเกือบ 50% หากมีคนในครอบครัวมีฝ้ากระก็มีแนวโน้มที่เราจะเกิดฝ้ากระสูง
  • ฮอร์โมน
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ในภาวะตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือน การทานยาคุมกำเนิด เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝ้าได้ มักพบฝ้าได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สำหรับฝ้าที่เกิดในช่วงตั้งครรภ์ที่พบมากโดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3 เมื่อคลอดแล้ว ฝ้าจะค่อยๆ จางลงโดยใช้ระยะเวลาเป็นเดือนๆ และอาจเหลือร่องรอยดำไว้บ้าง ในส่วนของยาคุมกำเนิดมักมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบ ซึ่งอาจส่งผลกระตุ้นการเกิดฝ้าได้ ในคนที่ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกัน 6 เดือนขึ้นไป มักมีปัญหาเรื่องฝ้า
  • อายุมากขึ้น
    ปัญหาฝ้ากระที่เกิดเมื่ออายุมากขึ้นเกิดจากกลไกการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายทำงานได้ช้าลง รวมไปถึงการเผชิญกับแสงแดด มลภาวะและสภาพแวดล้อมที่คอยทำร้ายผิวมาเป็นเวลานานด้วยเช่นกัน
  • เครื่องสำอาง
    ในเครื่องสำอางบางชนิดมีการเจือปนสารเคมีหรือสารอันตรายต่อผิวหน้า ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง เกิดรอยด่างดำสะสมบนใบหน้าและอาจทำให้เกิดเป็นฝ้าได้

วิธีป้องกันและลดการกลับมาเป็นซ้ำ

       ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่จะรักษาฝ้าให้หายขาดได้ การดูแลตัวเองเพื่อลดการกลับมาเป็นซ้ำจึงสำคัญมากเช่นกัน

  • ปกป้องผิวจากแสงแดดโดยทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันการเกิดฝ้า กระ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด กางร่มหรือสวมหมวกเมื่อต้องออกไปเจอแดด
  • หลีกเลี่ยงแสงจากหน้าจอมือถือ แสงไฟ แสงจากทีวี
  • หากเป็นผู้ที่มีปัญหาผิวเรื่องฝ้าอยู่แล้วควรมีการปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาบางประเภทเนื่องจากตัวยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบให้เกิดฝ้ามากขึ้นหรือเข้มกว่าเดิมได้
  • คอยสังเกตว่าฝ้านั้นเกิดจากยาคุมกำเนิดหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นควรพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิด

วิธีรักษา

       การรักษาฝ้ากระด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียวอาจได้ผลไม่ดีนัก จึงอาจพิจารณาใช้หลายวิธีร่วมกัน

การรักษาฝ้ากระ

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

       ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยลดเลือนจุดด่างดำ เช่น Vitamin C, Arbutin, Kojic acid, Niacinamide หรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น Glycolic Acid, Salicylic acid, AHA, BHA ซึ่งเป็นการทำให้ฝ้าจางลงได้ชั่วคราว ถ้าหยุดใช้ฝ้าก็มีโอกาสกลับมาได้

ข้อควรระวัง

  • ควรระวังการใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวร่วมกัน อาจทำให้เกิดการแพ้ได้

อาการแทรกซ้อน

  • พบได้น้อย แต่อาจทำให้ผิวระคายเคืองง่ายหรือมีอาการแพ้ได้ในบางราย

การผลัดผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling)

การผลัดผิวด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling)

       เป็นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกหรือเซลล์หนังกำพร้าที่ตายไปแล้วออกไป หลังจากผิวเก่าถูกผลัดออกไปก็จะทำให้ได้ผิวใหม่เกิดขึ้นมา ทำให้รอยดำจุดด่างดำลดเลือนลง แต่ต้องทำต่อเนื่องและเห็นผลแค่ฝ้ากระในผิวชั้นตื้นๆ เท่านั้น หลังทำอาจทำให้ผิวไวต่อแดดมากขึ้นในระยะสั้นๆ 1 สัปดาห์แรกหลังทำ จึงควรเลี่ยงแสงแดด

ข้อควรระวัง

  • ถ้ามีประวัติการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า ควรรอให้แผลหายสนิทก่อน
  • ไม่ควรลอกหน้าในคนที่กินยาคุมกำเนิด เพราะจะยิ่งทำให้รอยคล้ำหลังลอกเข้มมากกว่าปกติ
  • หลังทำไม่ควรออกไปเจอแสงจ้า เพราะกรดเหล่านี้ทำให้ผิวไวต่อแดดมากขึ้น
  • ควรระวังการลอกหน้าในผู้ที่กินยากรดวิตามินเอ (isotretinoin) อาจทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม และอาจลอกเป็นขุยได้

อาการแทรกซ้อน

  • ผิวอาจคล้ำขึ้น หลังทำจึงควรเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หากกระบวนการทำไม่สะอาด
  • ผิวแดงระคายเคือง มักจางหายไปใน 30-90 วัน
  • ผิวอาจแห้ง ลอกเป็นขุย
  • ในบางรายมีสิวเห่อหลังทำได้
การกรอผิว (Microdermabrasion)

การกรอผิว (Microdermabrasion)

       การกรอผิวเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับเร่งการผลัดเซลล์ผิวด้วยด้วยอัญมณีขนาดเล็ก (Micropeel) หรือละอองน้ำ (Hydropeel) ทำให้รอยดำจางลง โดยทั่วไปจัดว่าเทคนิค microdermabrasion ค่อนข้างปลอดภัย ไม่เกิดบาดแผลหรือตกสะเก็ด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องกังวลเรื่องรอยไหม้ แต่ต้องทำต่อเนื่อง และไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า กระในผิวชั้นลึก เพราะเทคนิคนี้ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกเท่านั้นแต่ไม่ได้ลงลึกถึงชั้นหนังแท้ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหา

ข้อควรระวัง

  • ระวังในผู้ที่กำลังกินยา Isotretinoin หรือหยุดยามาไม่ครบ 1 ปี
  • ระวังในผู้เป็นเริม มะเร็งผิวหนัง หรือมีผิวหนังอักเสบ
  • ควรให้ผู้ป่วยสวมแว่นป้องกันขณะทำ
  • อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หากกระบวนการทำไม่สะอาด
  • ช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังทำไม่ควรออกไปเจอแสงแดดแรงๆ เพราะชั้นผิวบางลง ไวต่อแดดมากขึ้น

อาการแทรกซ้อน

  • พบได้น้อย ที่เคยมีรายงานคืออาการตาแดง กลัวแสง เยื่อบุนัยน์ตาบวมแดง
  • อาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย เกิดบาดแผลถลอก และมีเลือดออกได้

ฉีดเมโส (Mesotherapy)

ฉีดเมโส (Mesotherapy)

       เป็นการฉีดสารสกัดลดเลือนจุดด่างดำ เช่น Tranexamic Acid กรดโคจิก อาร์บูติน กลูต้าไธโอน เช่นเดียวกันกับการใช้ครีม แต่การฉีดเข้าไปในชั้นผิวหนังจะเห็นผลรวดเร็วกว่าการทาครีม ละยังช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใสได้อีกด้วย

ข้อควรระวัง

  • ควรระวังการใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวร่วมกัน
  • อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หากกระบวนการทำไม่สะอาด
  • งดล้างหน้า หรือให้หน้าโดนน้ำอย่างน้อย 4 ชั่วโมง

อาการแทรกซ้อน

  • พบได้น้อย แต่อาจทำให้ผิวระคายเคืองง่ายหรือมีอาการแพ้ได้ในบางราย

ฉีดสเต็มเซล์ (Stem cell therapy)

ฉีดสเต็มเซล์ (Stem cell therapy)

       สเต็มเซลล์มีส่วนช่วนในการลดรอยด่างดำมีงานวิจัยชี้ว่าการฉีดสเต็มเซลล์ให้กับคนที่ต้องการรักษาผิวพรรณเพื่อย้อนวัยตัวเองส่งผลทำให้ฝ้าลดลงตามไปด้วยเมื่อทำการทดลองกับคนที่ไม่ได้ต้องการย้อนวัยแต่ต้องการรักษาฝ้าเพียงอย่างเดียว ก็พบว่าสเต็มเซลล์สามารถช่วยลดฝ้าได้

ข้อควรระวัง

  • ระวังการฉีดในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
  • ระวังการฉีดในผู้ป่วย SLE, HIV
  • อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย หากกระบวนการทำไม่สะอาด
  • งดล้างหน้า หรือให้หน้าโดนน้ำอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
  • ดทำเลเซอร์ ทรีทเมนท์ รวมถึงการอบซาวน่า อย่างน้อย 2 สัปดาห์

อาการแทรกซ้อน

  • พบได้น้อย
เลเซอร์ (Laser)

เลเซอร์ (Laser)

       เป็นการใช้พลังงานแสงที่มีความยาวคลื่นขนาดต่างๆ ช่วยลดเม็ดสี ทำให้จุดด่างดำค่อยๆ จางลงได้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ หรือ รอยจุดด่างดำอื่นๆ หลังรักษาด้วยเลเซอร์หน้าจะแดงเล็กน้อยและหายเป็นปกติได้เอง แต่ต้องเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดทุกวัน นอกจากนี้ยังควรใช้ครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นเสมอแต่ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิวหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์

  • Q-switched Nd : YAG เป็นเครื่องเลเซอร์ที่สามารถปล่อยแสงได้ 2 ความยาวคลื่น ได้แก่ 532 nm และ 1064 nm ซึ่งจะถูกดูดซึมโดยเมลานินในผิวหนังทำให้เกิดการแตกตัว สามารถรักษาฝ้ากระได้ทั้งแบบตื่นและแบบลึก
  • Picosecond Laser ใช้พลังงานทำลายเม็ดสีและทำให้เม็ดสีแตกตัว ช่วยลดความเข้มของเม็ดสีผิวลง ช่วยลดเลือนฝ้า กระ โดยไม่ก่อให้เกิดสะเก็ดแผลเป็นทิ้งไว้ และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้ชั้นผิว กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรให้บริเวณที่ทำเลเซอร์โดนน้ำ 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดหลังทำเลเซอร์ 2 สัปดาห์
  • หลังทำเมื่อแผลเริ่มตกสะเก็ด ควรปล่อยให้สะเก็ดหลุดเอง ห้ามแกะ
  • เริ่มใช้เครื่องสำอางหรือทาครีมกันแดดได้ 1 สัปดาห์หลังเลเซอร์ หรือจนกว่าสะเก็ดแผลจะหลุดออกหมด

อาการแทรกซ้อน

  • ผิวอาจระคายเคืองง่ายขึ้น
  • อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียการใช้ยาปฏิชีวนะหรือการดูแลรักษาแผลดีจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้
  • ผิวอาจตกสะเก็ด และหลุดไปเองใน 1-3 วัน
  • อาการปวด แสบร้อน บรรเทาได้ด้วยการประคบเย็นหรือกินยาแก้ปวด มักจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง
  • ผิวอาจคล้ำขึ้น โดยส่วนมากจะจางลงภายในเวลา 2-6 เดือน และมักพบบ่อยในผู้ป่วยที่ผิวคล้ำ และจะยิ่งเป็นมากขึ้นเมื่อบริเวณที่ได้รับการรักษาถูกแสงแดดจัด
  • สีผิวจางลง (Hypopigmentation) มักเกิดกับบริเวณที่รับการรักษาหลายครั้งหรือรักษาถี่เกินไป หายเป็นปกติได้เองแต่อาจใช้เวลาหลายเดือน และในบางกรณีสีผิวอาจจางลงถาวร ซึ่งพบได้น้อย
  • บางรายอาจมีอาการแพ้ที่ผิวหนังได้
ราคาความเหมาะสมประสิทธิภาพในการรักษาคะแนนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว​300 – 4,000ฝ้ากระในผิวชั้นตื้นๆ⭐️ ⭐️✅ ✅
​การผลัดผิวด้วยกรดผลไม้​300 – 500ฝ้ากระในผิวชั้นตื้นๆ⭐️
การกรอผิว500 – 2,000ฝ้ากระในผิวชั้นตื้นๆ⭐️
​เมโส​500 – 1,000ฝ้ากระในผิวชั้นตื้นๆ⭐️ ⭐️ ⭐️✅ ✅ ✅
​ฉีดสเต็มเซล์​เริ่มต้นที่ 5,000ฝ้ากระในผิวชั้นตื้นๆ⭐️ ⭐️✅ ✅
​Q-switched Nd:YAG1,500 – 3,000ฝ้ากระในผิวชั้นลึก⭐️ ⭐️ ⭐️ ⭐️✅ ✅ ✅ ✅
​Picosecond Laser7,000 – 10,000ฝ้ากระในผิวชั้นลึก⭐️ ⭐️ ⭐️ ⭐️✅ ✅ ✅ ✅
INNO GLITTER นวัตกรรมย้อนวัยผิว ผสมสารประกอสำคัญ PDRN เข้มข้น จาก USA

INNO GLITTER นวัตกรรมย้อนวัยผิว ผสมสารประกอสำคัญ PDRN เข้มข้น จาก USA

PDRN : ลดเลือนริ้วรอยเเห่งวัย ใบหน้าเด้งกระชับ

Hyaluronic Acid : ไฮย่าบริสุทธิ์ ขนาดเล็ก พร้อมเเทรกซึมทุกอนุผิว เผยผิวฉ่ำวาว วับจับเเสง ดุจผิวสุขภาพดี ชุ่มฉ่ำน้ำ

Placenta Extract : โปรตีนโมเลกุลเล็ก ส่งตรงเข้าซ่อมเเซมเเละฟื้นฟูทุกปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ

Koji (โคจิก) : สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยปกป้องจากอนุมูลอิสระ เเละ ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง จุดด่างดำเเลดูจางลง

สนใจสินค้าของ INNO GLITTER สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

ได้ที่ 061-5325495 หรือ กดเเอด Line ด้านล่างได้เลยค่ะ

เรื่องล่าสุด
เทียบให้ชัด! PLLA, PDLLA, PCL และ CaHA เลือกฉีดสาร Biostimulator แบบไหนดีสุด?
BIOSTIMULATOR

เทียบให้ชัด! PLLA, PDLLA, PCL และ CaHA เลือกฉีดสาร Biostimulator แบบไหนดีสุด?

ในยุคที่การดูแลผิวล้ำลึกจากภายในกลายเป็นเทรนด์ความงามมาแรง “Biostimulator” หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่หลายคนให้ความสนใจ แต่รู้หรือไม่? ว่า Biostimulator

"ปัญหาคิ้วผูกโบว์" เปลี่ยน ริ้วรอยบนใบหน้า จากหน้าดุให้เป็นหน้าหวาน
ปัญหาผิว

“ปัญหาคิ้วผูกโบว์” เปลี่ยนจากหน้าดุให้เป็นหน้าหวาน

เคยไหมทำหน้าเฉยๆ คิ้วดันผูกโบว์เหมือนโกรธใครมา ทั้งที่ไม่ตั้งใจให้หน้าดุ แต่กลับห้ามไม่ได้ แต่เรามีวิธี…ว่าจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร Innovation Beauty

ความต่างระหว่างของผิวสุขภาพดี หน้ามัน VS หน้าฉ่ำวาว
ปัญหาผิว

ความต่างระหว่างของผิวสุขภาพดี หน้ามัน VS หน้าฉ่ำวาว

น้าฉ่ำวาว หรือหน้ามันกันแน่สาวๆ หลายคนอาจจะยังแยกไม่ออกว่าหน้าฉ่ำวาว ดุจกระจก หรือ แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่ “หน้ามัน”

เคล็ดลับ! ฟื้นฟู ใต้ตา จัดการปัญหาความหมองคล้ำอย่างได้ผล
เมโสหน้าใส

เคล็ดลับ! ฟื้นฟู ใต้ตา จัดการปัญหาความหมองคล้ำอย่างได้ผล…

ถุงใต้ตา และความหมองคล้ำเป็นปัญหาที่หลายคนเผชิญ ซึ่งทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และ แก่กว่าวัย หากคุณกำลังมองหาวิธีจัดการกับปัญหานี้อย่างได้ผล บทความนี้

สิวเกิดจากอะไร? รักษายังไง? ให้ไม่กลับมาเป็นอีก!
เมโสหน้าใส

สิวเกิดจากอะไร? รักษายังไง? ให้ไม่กลับมาเป็นอีก!

สิว คือ อาการที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน และต่อมไขมัน มักจะเกิดขึ้นบริเวณที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่อยู่เยอะอย่างเช่น บริเวณใบหน้า ลำคอ