วิวัฒนาการการ ร้อยไหม ในทางการแพทย์
พ.ศ. 2503 ไหมมีการพัฒนาจนพบวัสดุที่ย่อยสลายได้เอง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงระยะยาว ไหมละลายที่ใช้ในปัจจุบันมีวิวัฒนาการ ดังนี้
- ไหม PDO (Polydioxanone) เป็นไหมที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2513 ใช้ในการทำศัลยกรรมเย็บเนื้อเยื่อหัวใจ เส้นเลือด และเย็บบาดแผลต่างๆทั่วร่างกาย สลายหมดภายใน 6 เดือน ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในและต่างประเทศ (FDA)

- ไหม PLLA (Poly L-Lactic acid) ไหมละลายที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 ใช้เวลาย่อยสลายนานถึง 2 ปี เมื่อย่อยสลายแล้วจะได้อนุพันธ์ของ Lactic Acid กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวและการสร้างคอลลาเจน ได้ดีกว่าไหมชนิดอื่น แต่มีข้อจำกัดคือค่อนข้างแข็งและเปราะง่าย ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาทั้งในและต่างประเทศ (FDA)

- ไหม PCL (Polycaprolactone) ไหมที่มีลักษณะคล้ายยางยืดหยุ่นได้ดี ย่อยสลายนานถึง 2-3 ปี ถูกนำมาทำเป็นไหมที่มีการผสมผสานสารสำคัญต่อผิว เช่น วิตามินซี growth factors เพื่อช่วยให้ผิวกระจ่างใสและเสริมสร้างคอลลาเจน รับรองความปลอดภัยจาก FDA และสหภาพยุโรป (CE mark)

การร้อยไหม ที่ได้รับมาตรฐานการรับรอง
การร้อยไหมที่ปลอดภัยนั้น ผลิตภัณฑ์ไหมจะต้องได้รับมาตรฐานการรับรองจากองค์การอาหารและยา (Thai FDA) USFDA KFDA ISO13485 CE GMP เป็นต้น
ปัจจัยสำคัญด้านความปลอดภัยในการ ร้อยไหม
- ประเภทของไหม
- มาตรฐานการรับรอง เลือกใช้ไหมที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ไหมชนิดละลาย เช่น PDO (Polydioxanone), PLLA (Poly-L-lactic acid), หรือ PCL (Polycaprolactone)
- คลินิกที่ได้รับอนุญาต
- ต้องเป็นคลินิกที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีใบอนุญาตประกอบกิจการ และมาตรฐานการรักษาที่ชัดเจน
- แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- ควรเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการร้อยไหม และผ่านการอบรมเฉพาะทางในการร้อยไหมอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ
- การคัดกรองข้อห้าม
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น ตั้งครรภ์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเลือดผิดปกติ ผู้ป่วยHIV และมะเร็ง ผู้ป่วยผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ ควรหลีกเลี่ยงการร้อยไหม
- การดูแลหลังการ ร้อยไหม
- การดูแลหลังการร้อยไหม เช่น หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือกดใบหน้าในช่วง 1-2 สัปดาห์หลังทำ และ การนัดติดตามผล และการรับประทานยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง
ผลข้างเคียงปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หลังการร้อยไหม
การร้อยไหม จัดเป็นหัตถการที่คล้ายกับการผ่าตัดเล็ก ทำให้เกิดแผลใต้ผิวในช่วงแรก อาจมีผลข้างเคียงที่สามารถเกิดได้ตามปกติ และจะหายเป็นปกติเอง ดังนี้
- มีอาการปวด บวม หรือเสียวเล็กน้อย แต่จะค่อยๆหายไปภายใน 7-14 วัน
- อาจมีเลือดซึมออกบริเวณที่แทงเข็ม หรือทำการร้อยเข้าไป
- ขณะทำหรือหลังทำหัตถการจะรู้สึกตึงเส้นไหมที่ถูกร้อยเข้าไปบนใบหน้า
- อาจมีอาการตึงผิวหน้ามากทำให้หลังร้อยไหมอ้าปากไม่สุด ไม่สบายหน้า ความตึงจะค่อยๆ ดีขึ้นในสัปดาห์แรก และจะรู้สึกตึงมากสุดแค่ช่วง 1-3 วันหลัง การร้อยไหม
- จะรู้สึกคลำได้เป็นลำตามแนวไหมในช่วงแรก เนื่องจากเป็นอาการบวมของแผลใต้ผิว แต่จะค่อยๆ เรียบหายเป็นปกติ
ผลข้างเคียงหลังการร้อยไหมที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
- ผิวบวมแดง มีหนองบริเวณที่ร้อยไหม เกิดจากการติดเชื้อที่ใช้ไหมไม่ได้มาตรฐาน
- ไหมทะลุ ไหมโผล่ออกมาให้เห็นนอกผิว เกิดจากแพทย์ซ่อนปมของไหมไม่ดีทำให้ปลายไหมโผล่ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- หลังร้อยไหมใบหน้าบวมขึ้นเรื่อยๆอย่างรุนแรง ประคบเย็นแล้วไม่ดีขึ้น อาจเกิดจากท่อน้ำลายขาด ควรรีบพบแพทย์
- ผิวไม่เรียบเนียน ผิดรูป หรือเป็นคลื่น จากเทคนิคการร้อยไหมที่ไม่ถูกต้อง
สรุป
ร้อยไหม ไม่อันตราย และ ถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัย เห็นผลทันที ถ้าหากร้อยด้วยวิธีที่ถูกต้อง และใช้ไหมละลายที่ผ่านการรับรองจาก อย. รวมไปถึงเทคนิค และ ประสบการณ์ของแพทย์ จัดเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยทั่วไปเส้นไหมจะประคองผิวได้ประมาณ 6 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ร้อย เมื่อเวลาผ่านไป เส้นไหมก็จะละลายไปโดยไม่เป็นอันตราย การร้อยไหม ด้วยเทคนิคที่ถูกต้องจะเกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ช่วยประคองผิวคล้ายกับเส้นเอ็นที่มีอยู่ตามธรรมชาติของร่างกาย