PDLLA และ PLLA ความแตกต่างของสารกระตุ้นคอลลาเจน ที่ควรรู้

PDLLA vs PLLA  ความแตกต่างของสารกระตุ้นคอลลาเจน(Biostimulator) ที่ควรรู้

ในวงการเสริมความงามและเวชศาสตร์ชะลอวัย สารกระตุ้นคอลลาเจน หรือ Biostimulator กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากช่วยฟื้นฟูผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ และช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสารกระตุ้นคอลลาเจนที่ใช้กันมากในปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด โดย PDLLA (Poly-D,L-lactic acid) และ PLLA (Poly-L-lactic acid) ถือเป็นสองสารหลักที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในแวดวงเสริมความงาม

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง PDLLA และ PLLA ทั้งในแง่ของโครงสร้าง การออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพ และการนำไปใช้งาน เพื่อให้คลินิกหรือผู้เชี่ยวชาญด้านความงามสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม

สารบัญ

PLLA คืออะไร?

PLLA (Poly-L-Lactic Acid)

PLLA หรือ Poly-L-lactic acid เป็นสารสังเคราะห์ที่อยู่ในกลุ่มของ Polyester ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย โดย PLLA มีโครงสร้างแบบ Isomer บริสุทธิ์ (L-isomer) ทำให้สาร PLLA มีความคงตัวสูง มีความเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อของร่างกาย และมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีเยี่ยม

กลไกการทำงานของ PLLA

  1. PLLA จะกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) ในผิวหนังให้ผลิตคอลลาเจนชนิดที่ 1 (Type I Collagen)
  2. หลังจากฉีดเข้าสู่ผิวหนัง PLLA จะค่อย ๆ ถูกย่อยสลายไปในช่วงระยะเวลา 12 – 24 เดือน
  3. ในระหว่างที่ PLLA ย่อยสลาย ร่างกายจะค่อย ๆ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีความกระชับและเต่งตึงมากขึ้น

คุณสมบัติของ PLLA

  • มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูง
  • ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว (อยู่ได้นาน 12-24 เดือน)
  • ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏหลังการฉีดประมาณ 2-3 เดือน และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
  • เหมาะกับการฟื้นฟูผิวที่ขาดความยืดหยุ่นและมีริ้วรอยลึก

PDLLA คืออะไร?

PDLLA (Poly-D,L-Lactic Acid)

PDLLA หรือ Poly-D,L-lactic acid เป็นสารสังเคราะห์ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับ PLLA แต่มีโครงสร้างแบบ racemic mixture คือมีทั้ง L-isomer และ D-isomer ผสมกัน ทำให้มีคุณสมบัติแตกต่างจาก PLLA ในแง่ของความยืดหยุ่นและการย่อยสลายที่รวดเร็วกว่า

กลไกการทำงานของ PDLLA

  1. หลังจากฉีด PDLLA เข้าไปในชั้นผิวหนัง สารนี้จะเริ่มกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้ผลิตคอลลาเจนทันที
  2. PDLLA มีคุณสมบัติในการกระจายตัวได้ดีในผิวหนัง จึงทำให้ผลลัพธ์ดูเรียบเนียนและเป็นธรรมชาติ
  3. PDLLA จะสลายตัวในร่างกายอย่างรวดเร็วกว่า PLLA และมีระยะเวลาการคงอยู่ที่ประมาณ 12 – 18 เดือน

คุณสมบัติของ PDLLA

  • ยืดหยุ่นและกระจายตัวได้ดีมากกว่า PLLA
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้เร็วและผลลัพธ์ค่อนข้างชัดเจนหลังทำ
  • อยู่ได้นาน 12-18 เดือน (สั้นกว่า PLLA เล็กน้อย)
  • เหมาะสำหรับการเติมเต็มในจุดที่ต้องการความละเอียดและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

เปรียบเทียบความแตกต่าง PLLA VS PDLLA 

คุณสมบัติPLLAPDLLA
โครงสร้างทางเคมีL-isomer (บริสุทธิ์)D,L-isomer (ผสม)
ผลลัพธ์หลังฉีดเริ่มเห็นผลใน 1-3 เดือนเริ่มเห็นผลใน 1-2 เดือน
ระยะเวลาการคงอยู่ประมาณ 12-24 เดือนประมาณ 12-18 เดือน
การสลายตัวในร่างกายค่อยๆ สลายตัวอย่างช้าๆสลายตัวได้เร็วกว่า PLLA
กระตุ้นคอลลาเจนกระตุ้นในชั้นผิวลึกได้ดีกระตุ้นได้ทั้งชั้นผิวตื้นและลึก
ความเหมาะสมในการใช้งานเน้นริ้วรอยลึกและการยกกระชับเน้นงานผิวมากกว่า

ข้อดีและข้อเสียของ PLLA

ข้อดี PLLA

  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า (สูงสุดถึง 24 เดือน)
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกได้ดี
  • เหมาะกับการแก้ปัญหาริ้วรอยลึก

ข้อเสีย PLLA

  • ต้องใช้เวลา 2-3 เดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
  • มีโอกาสเกิดก้อนแข็งหรือผิวไม่เรียบได้ หากฉีดไม่ถูกวิธี

ข้อดีและข้อเสียของ PDLLA

ข้อดี PDLLA

  • เห็นผลเร็วภายใน 1-2 เดือน
  • มีความยืดหยุ่นสูง กระจายตัวได้ดี
  • เหมาะสำหรับการเติมเต็มจุดเล็ก ๆ หรือพื้นที่ผิวไม่เรียบ

ข้อเสีย PDLLA

  • ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นกว่า PLLA เล็กน้อย
  • อาจต้องฉีดซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

ควรเลือกใช้ PDLLA หรือ PLLA ดี?

  • หากต้องการ ผลลัพธ์ที่ยาวนาน และมีปัญหาริ้วรอยลึก → PLLA อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า
  • หากต้องการ เห็นผลเร็ว และปรับรูปหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ → PDLLA จะตอบโจทย์มากกว่า

สำหรับการใช้งานในคลินิก แพทย์มักใช้ PDLLA และ PLLA ร่วมกันในบางกรณี เช่น
– ใช้ PLLA สำหรับการยกกระชับผิวและเติมเต็มในชั้นลึก
– ใช้ PDLLA สำหรับเน้นงานผิว

สรุป

แม้ว่า PDLLA และ PLLA จะมีคุณสมบัติในการกระตุ้นคอลลาเจนคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างในด้านโครงสร้างทางเคมีและการออกฤทธิ์ PLLA เหมาะสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน ในขณะที่ PDLLA เหมาะสำหรับการเน้นเรื่องงานผิว ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ

การเลือกใช้ PDLLA หรือ PLLA ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการรักษาและความต้องการของลูกค้า หากเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดูเป็นธรรมชาติและตรงกับความต้องการของคนไข้มากที่สุด


โปรแกรมใหม่ ต้องลอง! Planiti “ New Generation PLLA ”
Collagen Hybrid Biostimulator เพิ่มประสิทธิภาพในการกระตุ้นคอลลาเจน 
ลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

โปรแกรมใหม่ ต้องลอง! Planiti “ New Generation PLLA ”
Collagen Hybrid Biostimulator

สนใจโปรแกรม PLANITI สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ที่ 061-5325495 หรือ กด @Line ด้านล่างได้เลยค่ะ

ค้นหาคลินิกที่ใช้ผลิตภัณฑ์

เรื่องล่าสุด

แม้จะผอมบาง แต่พุงที่ยื่นออกมาทำให้หลายคนไม่มั่นใจ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และอาจส่งผลต่อสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจสาเหตุของผอมแต่มีพุง พร้อมแนะนำวิธีแก้ไขไขมันหน้าท้องอย่างได้ผล เพื่อคืนความมั่นใจและสุขภาพที่ดี

…..
เทศกาลกินเจคือช่วงที่หลายคนงดเนื้อสัตว์เพื่อชำระจิตใจ และรักษาศีล อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีในการดูแลสุขภาพ หากเลือกอาหารเจที่เหมาะสม จะช่วยให้ร่างกายได้สารอาหารครบ ป้องกันปัญหาน้ำตาลสูง ไขมันเกิน หรือขาดโปรตีน บทความนี้จะแนะนำเมนูเจที่ทั้งอร่อย สุขภาพดี และไม่ทำให้อ้วน…..

ฝ้า กระ ไม่ใช่แค่ปัญหาผิวที่ทำให้หน้าดูหมอง แต่ยังทำให้เราดูมีอายุเกินจริงแบบไม่รู้ตัว ยิ่งปล่อยไว้นาน ยิ่งลุกลาม และรักษายาก แต่ปัญหานี้มีทางแก้!

บทความนี้ จะพาคุณมารู้จักสาเหตุหลักของ ฝ้า กระ และวิธีดูแลผิวให้กลับมาเนียนใส…..

Related Article

อยากหน้าเด็ก ผิวตึงกระชับแบบไม่ต้องผ่าตัด? การฉีด Biostimulator กำลังเป็นที่นิยมในวงการความงาม เพราะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ แต่หลายคนก็ยังสงสัยว่า “มันปลอดภัยจริงไหม?” หรือ “จะมีผลข้างเคียงตามมาหรือเปล่า?”

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า…..
โปรแกรม “PLAN INFINITY” จาก PLANITI Biostimulator ใหม่ล่าสุด เปิดทุกความเป็นไปได้…..
Biostimulator เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม เนื่องจากช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูสภาพผิวจากภายใน โดยไม่ต้องพึ่งพาฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์แบบเดิม ๆ ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ชั้นนำหลายแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในตลาด ไปดูกันว่า 5 แบรนด์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมีแบรนด์ไหนกันบ้างค่ะ…..