การปรับรูปหน้าเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมของคนไทยในปัจจุบัน เนื่องจากใบหน้าที่ได้สัดส่วนสวยงามช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนอาจกังวลเรื่องการผ่าตัดศัลยกรรม ปัจจุบันมีนวัตกรรมความงามมากมายที่ช่วยปรับโครงสร้างและรูปหน้าได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ฟื้นตัวเร็ว และมีความปลอดภัยสูง มาทำความรู้จักกับวิธีปรับรูปหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดกัน
ปรับรูปหน้า คืออะไร
การปรับรูปหน้า คือการแก้ไขจุดบกพร่องบนใบหน้าที่ทำให้เกิดความไม่มั่นใจ เช่น โครงหน้าไม่สมมาตร คางสั้น แก้มตอบ กรามใหญ่หรือหน้าบาน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสมดุลให้กับใบหน้า ทำให้กรอบหน้าชัดเจนและดูเรียวขึ้น
6 วิธีปรับรูปหน้า
การปรับรูปหน้าในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี แต่ละวิธีมีจุดเด่นและความเหมาะสมกับปัญหาที่แตกต่างกัน มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่สามารถช่วยให้คุณมีใบหน้าที่สวยได้ดั่งใจ

1. ร้อยไหมปรับรูปหน้า
การร้อยไหมเป็นวิธีปรับรูปหน้าที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที โดยใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง เงี่ยงเหล่านี้จะทำหน้าที่ยึดและดึงผิวที่หย่อนคล้อยให้กระชับขึ้น พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ใบหน้าเรียวกระชับ กรอบหน้าชัดเจน และสามารถปรับรูปทรงตา ยกมุมปากหรือแม้แต่เสริมจมูกได้อีกด้วย โดยราคาสำหรับการร้อยไหมมักเริ่มต้นที่ประมาณ 8,900 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับจำนวนเส้นไหมและเทคนิคที่ใช้

2. เมโสแฟตปรับรูปหน้า
เมโสแฟตปรับรูปหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมบริเวณแก้มและเหนียง โดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติเข้าไปในชั้นไขมันโดยตรง เพื่อสลายไขมันส่วนเกินและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น เป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและได้ผลดี ช่วยให้แก้มเล็กลง ใบหน้าดูเรียวสวยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยราคาบริการเมโสแฟตมักเริ่มต้นที่ประมาณ 2,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งสามารถทำซ้ำได้ตามความเหมาะสม
3. ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์ด้วยสาร Hyaluronic Acid (HA) เป็นวิธีปรับรูปหน้าที่ให้ผลลัพธ์ทันที สามารถเติมเต็มได้หลากหลายจุด เช่น เพิ่มความยาวให้คาง เติมแก้มที่ตอบหรือแก้ไขร่องลึกต่าง ๆ บนใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูสมดุลและอ่อนเยาว์ขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6 – 12 เดือน ทั้งนี้ ราคาการฉีดฟิลเลอร์จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อและปริมาณที่ใช้ โดยทั่วไปจะเริ่มต้นที่ ประมาณ 6,000 บาทขึ้นไป
4. ฉีดโบท็อกปรับรูปหน้า
โบท็อกก็เป็นทางเลือกสำหรับการปรับรูปหน้าให้เรียว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรามใหญ่จากกล้ามเนื้อ การฉีดโบท็อกจะช่วยยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อกรามชั่วคราว ทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลง ส่งผลให้ใบหน้าเรียวขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการยกกระชับกรอบหน้าได้อีกด้วย โดยราคาสำหรับการฉีดโบท็อกมักอยู่ที่ ประมาณ 4,000 บาทต่อครั้ง และอาจต้องทำซ้ำ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
5. Ulthera และ Thermage ปรับรูปหน้า
เทคโนโลยี HIFU, Ulthera และ Thermage เป็นนวัตกรรมการปรับรูปหน้าด้วยคลื่นพลังงาน โดย Ulthera และ HIFU ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้น SMAS ทำให้ผิวกระชับและใบหน้าเรียวขึ้น ส่วน Thermage เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยร่วมกับมีไขมันมาก สามารถยกกระชับและสลายไขมันไปพร้อมกัน สำหรับราคาจะขึ้นอยู่กับพื้นที่และจำนวนช็อตที่ใช้ โดย Ulthera มักมีราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ส่วน Thermage เริ่มต้นที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป
6. ผ่าตัดศัลยกรรมปรับรูปหน้า
การผ่าตัดศัลยกรรมเป็นวิธีปรับรูปหน้าที่เห็นผลถาวร โดยสามารถผ่าตัดเสริมกระดูกแก้ม ตัดกรามหรือปรับรูปคาง เพื่อให้ใบหน้าได้สัดส่วนและดูสมดุลมากยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโครงหน้าโดยกำเนิด หรือผู้ที่ไม่มั่นใจในรูปหน้า และต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดจำเป็นต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลหรือคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมทั้งมีการประเมินความเสี่ยงและผลลัพธ์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา ทั้งนี้ ราคาผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับลักษณะและความซับซ้อนของหัตถการ โดยทั่วไปมักเริ่มต้นที่ ประมาณ 50,000 บาทขึ้นไป
ราคาการปรับรูปหน้าจะแตกต่างกันไปตามวิธีการและคลินิกที่เลือกใช้บริการ ดังนี้
- ร้อยไหมปรับรูปหน้า ราคาอยู่ที่ประมาณ 8,900 บาทขึ้นไป
- เมโสแฟตปรับรูปหน้า ราคาเริ่มต้นประมาณ 2,000 บาทต่อครั้ง
- ฉีดฟิลเลอร์ ราคาอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาทขึ้นไป
- ฉีดโบท็อกปรับรูปหน้า ราคาอยู่ที่ประมาณ 4,000 บาทต่อครั้ง
- Ulthera ราคาอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป
- Thermage ราคาอยู่ที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป

สรุปบทความ
การปรับรูปหน้าในปัจจุบันมีหลากหลายทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการร้อยไหม ฉีดโบท็อก ฉีดฟิลเลอร์หรือใช้เทคโนโลยีอัลตราซาวด์ แต่ละวิธีมีจุดเด่นและความเหมาะสมแตกต่างกัน การเลือกวิธีปรับรูปหน้าที่เหมาะสมควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและปัญหา รวมถึงพิจารณางบประมาณและระยะเวลาในการรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติตามที่ต้องการ