Biostimulator ตัวช่วยย้อนวัยให้ผิว ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด
Biostimulator ตัวช่วยย้อนวัยให้ผิว ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด

Biostimulator ตัวช่วยย้อนวัยให้ผิว ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างเห็นได้ชัด 

สารบัญ

กระแสการดูแลสุขภาพผิวกำลังมาแรงในปัจจุบัน โดยเฉพาะการชะลอวัยและฟื้นฟูผิวให้กลับมามีชีวิตชีวา Biostimulator จึงเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการความงาม ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึงและดูสุขภาพดี นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยไม่จำเป็นต้องศัลยกรรมเลย 

Biostimulator คืออะไร 

Biostimulator หรือที่รู้จักกันในชื่อ Collagen Biostimulator เป็นนวัตกรรมการฟื้นฟูผิวระดับลึกที่ทำงานด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง สารกระตุ้นคอลลาเจนจะทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้ร่างกายผลิตคอลลาเจนเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่สูญเสียไปตามวัย ส่งผลให้ผิวกลับมาแน่นกระชับ มีความยืดหยุ่นดี อิ่มฟูและมีสุขภาพแข็งแรงจากภายใน 

หลักการทำงานของ Biostimulator 

Biostimulator มีกลไกการทำงานแตกต่างกันไปตามอนุภาคของพอลิเมอร์ต่างๆ ดังนี้ Poly-L-Lactic (PLLA), Poly-D, L-Lactic Acid (PDLLA), Calcium hydroxylapatite CaHa ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์  โดยส่วนมากจะเป็นพอลิเมอร์ที่มีโครงสร้างเข้ากันได้ดีกับผิวหนังมนุษย์ เมื่อฉีดเข้าสู่ชั้นใต้ผิว สารนี้จะทำงานร่วมกับเนื้อเยื่อบริเวณใบหน้า กระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังที่มีหน้าที่สร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Fibroblast) ผลิตทั้งคอลลาเจน อิลาสตินและไฮยารูโรนิค ทำให้เกิดการสะสมของเส้นใยคอลลาเจนใหม่ เสริมความแข็งแรงให้โครงสร้างผิวในระยะยาว 

Biostimulator มียี่ห้ออะไรบ้าง

ในปัจจุบันมี Biostimulator หลากหลายแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์และความงาม แต่ละแบรนด์มีคุณสมบัติและจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ดังนี้ 

Planiti

Planiti คือ Biostimulator แบรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงจากเกาหลี โดดเด่นด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และมีส่วนประกอบสำคัญอย่าง PLLA (Poly-L-Lactic Acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในสู่ภายนอก ส่งผลให้ผิวที่หย่อนคล้อยกลับมากระชับ เต่งตึง และช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ

การทำงานของ Planiti จะค่อย ๆ แสดงผลอย่างชัดเจนตามระยะเวลา ทำให้การเปลี่ยนแปลงของผิวดูเป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งหรือล้นเกิน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ให้กลับคืนมาอย่างนุ่มนวลและยั่งยืน

Sculptra  

Sculptra เป็น Biostimulator ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ PLLA (Poly-L-Lactic acid) ซึ่งเป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายในสู่ภายนอก ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกลับมากระชับ และใบหน้าดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ การทำงานของ Sculptra จะค่อย ๆ เห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การเปลี่ยนแปลงดูเป็นธรรมชาติ 

Radiesse  

Radiesse คือ Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ CaHA (Calcium Hydroxylapatite) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ชั้นใต้ผิวหนัง ให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกับการฉีดฟิลเลอร์ แต่มีข้อดีคือช่วยให้ผิวหน้ากระชับและมีความยืดหยุ่นที่ดีขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มมิติให้กับใบหน้า ทำให้ดูมีโครงสร้างที่ชัดเจนและสวยงามมากขึ้น 

Biostimulator VS Ulthera VS Thermage ต่างกันอย่างไร

แม้ว่าทั้ง Biostimulator, Ulthera และ Thermage จะมีจุดประสงค์หลักในการยกกระชับผิวและกระตุ้นคอลลาเจนเหมือนกัน แต่มีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน Biostimulator เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาผิวชั้นบนให้แน่นกระชับด้วยการสร้างคอลลาเจนใหม่ ในขณะที่ Thermage จะช่วยให้คอลลาเจนเดิมหดตัวจึงเกิดการยก เหมาะกับผู้ที่มีคอลลาเจนเดิมในปริมาณมาก ส่วน Ulthera จะเน้นการยกกระชับในชั้น SMAS ทำให้เหมาะกับการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับลึก 

Biostimulator, Thermage และ Ulthera สามารถทำพร้อมกันได้ไหม

การผสมผสานการรักษาระหว่าง Biostimulator กับเครื่องมือยกกระชับอย่าง Ulthera และ Thermage สามารถเสริมประสิทธิภาพซึ่งกันและกันได้ แต่ต้องจัดลำดับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยหากต้องการทำ Ulthera หรือ Thermage ควรรอให้ผ่านไป 1 เดือนหลังการฉีด Biostimulator เนื่องจากร่างกายจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการกระตุ้นเซลล์เพื่อให้เกิดกระบวนการสร้างคอลลาเจน การเว้นระยะเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผลการรักษาชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

Biostimulator เหมาะสำหรับใครบ้าง

Biostimulator เป็นนวัตกรรมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ขาดความกระชับจากอายุที่เพิ่มขึ้น มีริ้วรอยแห่งวัยหรือผู้ที่เริ่มมีความเสื่อมสภาพของผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปที่ต้องการป้องกันและรักษาความอ่อนเยาว์ของผิว นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว โดยจะสามารถให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานถึง 2 ปี 

Biostimulator ไม่เหมาะสำหรับใครบ้าง

แม้ว่า Biostimulator จะมีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูผิว แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่ม เช่น 

  • ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAID ยากดภูมิคุ้มกัน หรือ Corticosteroids เป็นระยะเวลานาน 
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางระบบประสาทสัมผัส โรคเบาหวาน โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเริมหรือลมชัก รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้สารบางชนิดอย่างรุนแรง 
  • ผู้ที่มีการอักเสบที่ผิวหนัง 
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร 
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ 

ฉีด Biostimulator แล้ว อยู่ได้นานไหม

หลังการฉีด Biostimulator จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนในช่วง 1 – 2 เดือน โดยหากฉีดเพียงครั้งเดียว ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ประมาณ 2 – 4 เดือน ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แพทย์มักแนะนำให้ฉีดต่อเนื่อง 2 – 3 ครั้งในช่วงแรก เพื่อให้ผิวได้ปรับตัวและสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปี ทำให้ Biostimulator เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว  

ฉีด Biostimulator แล้ว อยู่ได้นานไหม

วิธีการเตรียมตัวก่อนฉีด Biostimulator

เพื่อไม่ให้เกิดอาการข้างเคียง แนะนำให้เตรียมตัวไปให้พร้อมก่อนเข้ารับหัตถการ ดังนี้ 

  • งดทำหัตถการอื่น ๆ บนใบหน้าอย่างน้อย 2 – 4 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อให้ผิวได้พักฟื้นอย่างเต็มที่
  • งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 – 3 วันก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • หยุดทานยาและวิตามินที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำหรือจ้ำเลือด
  • พักผ่อนให้เพียงพอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการสร้างคอลลาเจนใหม่ 
ผู้หญิงสวย

วิธีการดูแลตัวเองหลังฉีด Biostimulator

เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดหลังจากทำ Biostimulator มาแล้วควรปฏิบัตตาม ดังนี้ 

  • งดใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวทุกชนิดในช่วง 12 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด
  • หากพบก้อนใต้ผิวหนัง สามารถนวดเบาๆ เพื่อกระจายตัวยาได้
  • ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการบวมช้ำที่อาจเกิดขึ้นได้
  • เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีด Biostimulator

1. เลือกฉีด Biostimulator แบบไหนดี

เลือก Biostimulator ที่เหมาะสมควรเริ่มต้นด้วยการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากแต่ละคนมีสภาพผิวและปัญหาที่แตกต่างกัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำปรึกษา และวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ 

2. ฉีด Biostimulator พร้อมทำหัตถการอื่นได้หรือไม่

สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้ แต่ควรทำหลังจากฉีด Biostimulator แล้ว 1 เดือน มีบางกรณีที่สามารถทำได้เลย เช่น อยู่คนละตำแหน่งหรือคนละชั้นผิว โดยหัตถการนั้น ๆ จะต้องเป็นหัตถการที่ไม่ใช้พลังงาน หรือก่อให้เกิดความร้อนสะสมใต้ชั้นผิว 

3. การฉีด Biostimulator อันตรายไหม

การฉีด Biostimulator เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย หากดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัย ส่วนมากจะมีอาการข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น รอยแดง บวม หรือรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน

สรุปบทความ 

Biostimulator เป็นนวัตกรรมการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยการทำงานที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผิวกลับมากระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยมีให้เลือกหลากหลายแบรนด์ตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ทั้ง Planiti, Sculptra และ Radiesse ที่แต่ละแบรนด์มีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด

Innovation Beauty เราเป็น ONE STOP SERVICE ศูนย์รวมผลิตภัณฑ์และบริการด้านความงามครบวงจร เราพร้อมเป็นพาร์ทเนอร์ที่ไว้วางใจได้สำหรับคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้วยประสบการณ์การเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามคุณภาพสูง พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา ดูแล และสนับสนุนธุรกิจของคุณอย่างครบถ้วนในทุกด้าน ตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การอบรมให้ความรู้ ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ใส่ใจทุกรายละเอียด 

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Line @InnovationBeauty

E-mail : [email protected]

Tel. 061-532-5495

เรื่องล่าสุด

ไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม PLAN INFINITY โดดเด่นกว่าตัวอื่น
Interesting Facts

เปิดเผย! อะไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม “PLAN INFINITY”  โดดเด่นกว่าตัวอื่น ๆ

ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว “PLAN INFINITY” กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับความสนใจจากคลินิกและผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก แต่สิ่งที่ทำให้ “PLAN INFINITY”

ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้?
Interesting Facts

Why is thread lifting a safe and reliable procedure?

การร้อยไหม เป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี แพร่หลายสู่ยุโรป อเมริกา รวมทั้งประเทศไทย จากข้อจำกัดในอดีตของการปรับรูปหน้าและยกกระชับทำได้เพียงการผ่าตัดดึงหน้า ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเละมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

Interesting Facts

5 วิธีลดรอยย่นระหว่างคิ้ว คืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยก็เริ่มมาเยือนเราเรื่อย ๆ และยิ่งปรากฏให้เห็นเยอะขึ้น โดยเฉพาะรอยย่นระหว่างคิ้วที่ไม่เพียงทำให้ใบหน้าดูแก่ แต่ยังส่งผลต่อการแสดงออกทางสีหน้าที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเรากำลังหงุดหงิดหรือไม่พอใจอีกด้วย วันนี้ Innovation Beauty จะพาคุณไปทำความรู้จักกับริ้วรอยแห่งวัยตรงช่วงหว่างคิ้วว่า มีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีการแก้ไขและรักษา เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าของคุณ  รอยย่นระหว่างคิ้ว คืออะไร รอยย่นระหว่างคิ้วเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยจะปรากฏเป็นร่องลึกในแนวตั้งระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้ว การแสดงสีหน้าต่าง ๆ หรือแม้แต่การเพ่งสายตามองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปรอยย่นเหล่านี้จะค่อย ๆ ฝังลึกจนกลายเป็นร่องถาวรที่มองเห็นได้แม้ในยามพักสีหน้า ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยและอาจกระทบต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน  รอยย่นระหว่างคิ้ว เกิดจากอะไรบ้าง รอยย่นระหว่างคิ้วไม่ได้เกิดมากจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกัน ทำให้ผิวบริเวณนี้เสื่อมสภาพและเกิดรอยย่นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้ 5 วิธีลดริ้วรอยและรอยย่นระหว่างคิ้ว วิธีการแก้ไขปัญหารอยย่นระหว่างคิ้วมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงการหัตถารต่าง ๆ มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยลดเลือนรอยย่นเหล่านี้ได้   1. ทาครีมบำรำรุงลดเลือนริ้วรอย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hyarulonic,  Retinol, Peptide หรือ Vitamin C ก็ฟื้นฟูผิวเสีย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น   2. ร้อยไหมลดรอยย่นระหว่างคิ้ว อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ปัญหารอยย่นระหว่างคิ้ว นั้นก็คือการร้อยไหม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการสอดเส้นไหมเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นไหมจะเข้าไปยกกระชับและกระตุ้นให้เกิดสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยย่นบริเวณระหว่างคิ้วดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด  อ่านบทความเกี่ยวกับการร้อยไหมเพิ่มเติม ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด? เพื่อตัวเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณ 3. โบท็อกซ์  การฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นระหว่างคิ้วนั้น จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้รอยย่นจางลงและป้องกันการเกิดรอยย่นใหม่ ผลลัพธ์จะเห็นได้ภายใน 3 – 14 วันหลังจากทำและเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือนเท่านั้น หากอยากรักษาความเรียบเนียนและดูกระชับไว้ แนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน   4. เลเซอร์ยกกระชับ เทคโนโลยีเลเซอร์สมัยใหม่สามารถช่วยลดรอยย่นระหว่างคิ้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Fractional ,IPL หรือ Pico Laser โดยจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น รอยย่นดูตื้นขึ้น ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ   5. ศัลยกรรมผ่าตัด

ไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม PLAN INFINITY โดดเด่นกว่าตัวอื่น
Interesting Facts

เปิดเผย! อะไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม “PLAN INFINITY”  โดดเด่นกว่าตัวอื่น ๆ

ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว “PLAN INFINITY” กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับความสนใจจากคลินิกและผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก แต่สิ่งที่ทำให้ “PLAN INFINITY”

ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้?
Interesting Facts

Why is thread lifting a safe and reliable procedure?

การร้อยไหม เป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี แพร่หลายสู่ยุโรป อเมริกา รวมทั้งประเทศไทย จากข้อจำกัดในอดีตของการปรับรูปหน้าและยกกระชับทำได้เพียงการผ่าตัดดึงหน้า ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเละมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

Interesting Facts

5 วิธีลดรอยย่นระหว่างคิ้ว คืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยก็เริ่มมาเยือนเราเรื่อย ๆ และยิ่งปรากฏให้เห็นเยอะขึ้น โดยเฉพาะรอยย่นระหว่างคิ้วที่ไม่เพียงทำให้ใบหน้าดูแก่ แต่ยังส่งผลต่อการแสดงออกทางสีหน้าที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเรากำลังหงุดหงิดหรือไม่พอใจอีกด้วย วันนี้ Innovation Beauty จะพาคุณไปทำความรู้จักกับริ้วรอยแห่งวัยตรงช่วงหว่างคิ้วว่า มีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีการแก้ไขและรักษา เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าของคุณ  รอยย่นระหว่างคิ้ว คืออะไร รอยย่นระหว่างคิ้วเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยจะปรากฏเป็นร่องลึกในแนวตั้งระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้ว การแสดงสีหน้าต่าง ๆ หรือแม้แต่การเพ่งสายตามองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปรอยย่นเหล่านี้จะค่อย ๆ ฝังลึกจนกลายเป็นร่องถาวรที่มองเห็นได้แม้ในยามพักสีหน้า ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยและอาจกระทบต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน  รอยย่นระหว่างคิ้ว เกิดจากอะไรบ้าง รอยย่นระหว่างคิ้วไม่ได้เกิดมากจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกัน ทำให้ผิวบริเวณนี้เสื่อมสภาพและเกิดรอยย่นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้ 5 วิธีลดริ้วรอยและรอยย่นระหว่างคิ้ว วิธีการแก้ไขปัญหารอยย่นระหว่างคิ้วมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงการหัตถารต่าง ๆ มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยลดเลือนรอยย่นเหล่านี้ได้   1. ทาครีมบำรำรุงลดเลือนริ้วรอย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hyarulonic,  Retinol, Peptide หรือ Vitamin C ก็ฟื้นฟูผิวเสีย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น   2. ร้อยไหมลดรอยย่นระหว่างคิ้ว อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ปัญหารอยย่นระหว่างคิ้ว นั้นก็คือการร้อยไหม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการสอดเส้นไหมเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นไหมจะเข้าไปยกกระชับและกระตุ้นให้เกิดสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยย่นบริเวณระหว่างคิ้วดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด  อ่านบทความเกี่ยวกับการร้อยไหมเพิ่มเติม ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด? เพื่อตัวเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณ 3. โบท็อกซ์  การฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นระหว่างคิ้วนั้น จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้รอยย่นจางลงและป้องกันการเกิดรอยย่นใหม่ ผลลัพธ์จะเห็นได้ภายใน 3 – 14 วันหลังจากทำและเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือนเท่านั้น หากอยากรักษาความเรียบเนียนและดูกระชับไว้ แนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน   4. เลเซอร์ยกกระชับ เทคโนโลยีเลเซอร์สมัยใหม่สามารถช่วยลดรอยย่นระหว่างคิ้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Fractional ,IPL หรือ Pico Laser โดยจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น รอยย่นดูตื้นขึ้น ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ   5. ศัลยกรรมผ่าตัด