เมโสแฟต
เมโสแฟต

“ เมโสแฟต ” ความรู้สึกแสบหรือไม่แสบขึ้นอยู่กับอะไร?

สาวๆ หลายคนคงเคยใฝ่ฝันถึงใบหน้าเรียวสวย ไร้ไขมันส่วนเกิน แต่การจะหุ่นดี หน้าเรียว โดยไม่ต้องผ่าตัด หนึ่งในวิธีที่เป็นที่นิยมอย่างมากเลยก็คือ การทำหัตถการเมโสแฟต แต่หนึ่งในคำถามที่หลายคนสงสัยก็คือ ทำหัตถการเมโสแฟตแล้ว รู้สึกแสบหรือไม่

สารบัญ

บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยว่า ความรู้สึกแสบในการทำหัตถการ มโสแฟตนั้น ขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง? เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับสาวๆ ที่กำลังจะลองทำหัตถการ เมโสแฟต ให้ใบหน้าเรียวสวยกันค่ะ

เมโสแฟตเป็นเทคนิคการสลายไขมันเฉพาะจุดที่ได้รับความนิยมในวงการความงาม อย่างไรก็ตาม ผู้รับบริการบางคนอาจรู้สึกแสบขณะทำหัตถการ  ในขณะที่บางคนไม่รู้สึกแสบเลย เหตุผลที่ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างนี้มาจากปัจจัยหลายประการ ดังนี้

ชนิดของสารที่ใช้ทำหัตถการ เมโสแฟต

ส่วนประกอบของสารละลายไขมัน

สารละลายไขมันที่ใช้ในการทำหัตถการเมโสแฟต (Mesofat) ส่วนใหญ่มักจะประกอบด้วยสารหลักๆ ที่มีผลต่อความเจ็บปวดและความแสบได้แก่ ฟอสฟาติดิลโคลีน (Phosphatidylcholine) และดอกอะซีติล (Deoxycholate) ซึ่งมีหน้าที่ในการกระตุ้นการสลายไขมันและลดปริมาณไขมันในบริเวณที่ทำหัตถการ เมื่อใช้สารเหล่านี้ได้ถูกต้องและเหมาะสมกับปริมาณและพื้นที่การทำหัตถการ จะช่วยลดความเจ็บปวดและความแสบได้ดีขึ้น

ความเข้มข้นของสาร

  • ความเข้มข้นต่ำ (Low concentration): มักใช้สำหรับผู้ที่ต้องการทำหัตถการเมโสแฟตตบริเวณที่ไม่ต้องการความเข้มข้นมาก สารที่มีความเข้มข้นต่ำสามารถลดความเจ็บปวดและความแสบได้มากกว่าสารที่เข้มข้นมาก
  • ความเข้มข้นปานกลาง (Medium concentration): มักใช้สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการลดไขมัน สารที่มีความเข้มข้นปานกลางอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและความแสบได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับความเข้มข้นต่ำ
  • ความเข้มข้นสูง (High concentration): มักใช้สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดไขมัน สารที่มีความเข้มข้นสูงสามารถทำให้เกิดความเจ็บปวดและความแสบได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับความเข้มข้นที่ต่ำหรือปานกลาง

การเลือกใช้ความเข้มข้นของสารนั้นส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับการประเมินและคำแนะนำจากแพทย์ผู้ทำหัตถการ โดยคำแนะนำเกี่ยวกับความเข้มข้นที่เหมาะสมจะพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ประสิทธิภาพที่ต้องการ, พื้นที่ที่จะทำกาทำหัตถการ, และสภาพผิวของผู้รับบริการ

ปริมาณที่ใช้ทำหัตถการ

การทำหัตถการเป็นจุดๆ (Point Injection): ปริมาณสารที่ใช้ในแต่ละจุดมักอยู่ที่ประมาณ 0.1-0.3 มิลลิลิตร ขึ้นอยู่กับบริเวณและความหนาของไขมัน

การทำหัตถการหลายจุด: แพทย์จะกระจายเป็นหลายจุดเพื่อให้สารกระจายตัวทั่วบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน

ตำแหน่งที่ทำหัตถการ

ตำแหน่งที่ทำหัตถการมีผลต่อความรู้สึกแสบ หากบริเวณที่มีไขมันสะสมหนา มักไม่ค่อยรู้สึกแสบ เพราะตัวยาไปสลายไขมันโดยตรง ส่วนบริเวณที่มีไขมันน้อย อาจรู้สึกแสบบ้าง เพราะตัวยาไปกระตุ้นเนื้อเยื่อ ส่วนบริเวณของร่างกายที่มีเส้นเลือดและประสาทหนาแน่นจะไวต่อความเจ็บปวดมากกว่า เช่น บริเวณใต้ตาหรือหน้าท้อง

เทคนิคการทำหัตถการ

ควรทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญและเทคนิคการทำหัตถการที่ดี จะสามารถลดความเจ็บได้ และการทำหัตถการที่ถูกวิธีจะทำให้สารเข้าสู่ชั้นไขมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

เข็มที่ใช้ในการทำหัตถการ

  • ต้องเป็นเข็มที่เล็กและบาง จะช่วยลดความเจ็บปวดและความไม่สบายของผู้รับบริการ

ความลึกในการทำหัตถการ

  • เทคนิคการทำหัตถการแบบตื้น (Superficial Injection): ความลึกประมาณ 4-6 มม. เหมาะสำหรับบริเวณที่ไขมันไม่หนามาก เช่น ใบหน้า หรือคอ
  • เทคนิคการทำหัตถการแบบลึก (Deep Injection): ความลึกประมาณ 7-13 มม. เหมาะสำหรับบริเวณที่มีไขมันหนา เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก

ความเร็วในการทำหัตถการ

  • การทำหัตถการเมโสแฟตอย่างช้าๆ มักช่วยลดความเจ็บปวดและความไม่สบายของผู้รับบริการ อีกทั้งยังช่วยให้สารกระจายตัวในชั้นไขมันได้ดีขึ้น
  • การทำหัตถการเมโสแฟตอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดการเจ็บปวดและความไม่สบายมากขึ้น และสารอาจไม่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอในชั้นไขมัน

สภาพผิวของผู้รับบริการ

ผู้ที่มีผิวหนังหนาและมีชั้นไขมันหนา เมื่อทำหัตถการอาจเจ็บปวดน้อยกว่า เนื่องจากชั้นไขมันทำหน้าที่เหมือนเบาะรองรับ ส่วนผู้ที่มีผิวหนังบางอาจรู้สึกเจ็บปวดและแสบมากขึ้น เนื่องจากเข็มและสารที่เข้าสู่ชั้นไขมันอาจอยู่ใกล้กับเส้นประสาทมากกว่า หรือหากผู้ที่เข้ารับบริการมีการอักเสบการติดเชื้อที่ผิวหนังก่อนการทำหัตถการจะทำให้รู้สึกแสบมากยิ่งขึ้น

การใช้ยาชาก่อนทำหัตถการ เมโสแฟต

การใช้ยาชาก่อนทำหัตถการเป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดและความไม่สบายของผู้รับบริการระหว่างทำหัตถการ โดยใช้ยาชาที่เป็นครีมหรือเจล ทาบริเวณที่ต้องการทำหัตถการประมาณ 30-60 นาทีก่อนเริ่มการรักษา

สภาพจิตใจของผู้รับบริการ

หากผู้เข้ารับบริการมีความวิตกกังวลและความกลัวเข็มสูง อาจรู้สึกเจ็บปวดและแสบมากขึ้น เนื่องจากความกลัว และวิตกกังกลจะไปกระตุ้นระบบประสาทให้ไวต่อความรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ดังนั้นการผ่อนคลายและการเตรียมตัวให้พร้อมจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดได้

วิธีการลดความรู้สึกแสบขณะทำหัตถการ เมโสแฟต

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกสูตรที่เหมาะสม พูดคุยกับแพทย์เพื่อเลือกสูตรที่มีผลข้างเคียงน้อยและไม่ทำให้รู้สึกแสบมากเกินไป
  2. ใช้ยาชาก่อนการทำหัตถการ ขอให้แพทย์ใช้ยาชาก่อนการทำหัตถการเพื่อลดความเจ็บปวด
  3. การผ่อนคลายตัวเอง การหายใจลึกๆ หรือการฟังเพลงสามารถช่วยลดความเจ็บปวดได้
  4. การดูแลผิวหลังทำหัตถการ ควรดูแลผิวให้ดี หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูบริเวณที่ทำหัตถการ และดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยขับไขมันที่ถูกสลายออกจากร่างกาย

ทั้งนี้ อาการแสบหลังทำหัตถการเมโสแฟต มักเป็นเพียงอาการชั่วคราว

  • มักจะหายไปภายใน 1-2 วัน
  • หากมีอาการแสบมาก บวมแดง หรือมีอาการอื่นๆ ผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์

สรุป

การทำหัตถการเมโสแฟต เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการลดไขมันเฉพาะส่วน อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีอาการแสบ หรือเจ็บปวดในการทำหัตถการ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่การเตรียมตัวอย่างเหมาะสมและการเลือกสถานบริการที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและได้รับมาตรฐาน จะช่วยลดความเจ็บปวดและให้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด

เรื่องล่าสุด

ไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม PLAN INFINITY โดดเด่นกว่าตัวอื่น
Interesting Facts

เปิดเผย! อะไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม “PLAN INFINITY”  โดดเด่นกว่าตัวอื่น ๆ

ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว “PLAN INFINITY” กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับความสนใจจากคลินิกและผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก แต่สิ่งที่ทำให้ “PLAN INFINITY”

ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้?
Interesting Facts

Why is thread lifting a safe and reliable procedure?

การร้อยไหม เป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี แพร่หลายสู่ยุโรป อเมริกา รวมทั้งประเทศไทย จากข้อจำกัดในอดีตของการปรับรูปหน้าและยกกระชับทำได้เพียงการผ่าตัดดึงหน้า ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเละมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

Interesting Facts

5 วิธีลดรอยย่นระหว่างคิ้ว คืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยก็เริ่มมาเยือนเราเรื่อย ๆ และยิ่งปรากฏให้เห็นเยอะขึ้น โดยเฉพาะรอยย่นระหว่างคิ้วที่ไม่เพียงทำให้ใบหน้าดูแก่ แต่ยังส่งผลต่อการแสดงออกทางสีหน้าที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเรากำลังหงุดหงิดหรือไม่พอใจอีกด้วย วันนี้ Innovation Beauty จะพาคุณไปทำความรู้จักกับริ้วรอยแห่งวัยตรงช่วงหว่างคิ้วว่า มีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีการแก้ไขและรักษา เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าของคุณ  รอยย่นระหว่างคิ้ว คืออะไร รอยย่นระหว่างคิ้วเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยจะปรากฏเป็นร่องลึกในแนวตั้งระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้ว การแสดงสีหน้าต่าง ๆ หรือแม้แต่การเพ่งสายตามองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปรอยย่นเหล่านี้จะค่อย ๆ ฝังลึกจนกลายเป็นร่องถาวรที่มองเห็นได้แม้ในยามพักสีหน้า ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยและอาจกระทบต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน  รอยย่นระหว่างคิ้ว เกิดจากอะไรบ้าง รอยย่นระหว่างคิ้วไม่ได้เกิดมากจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกัน ทำให้ผิวบริเวณนี้เสื่อมสภาพและเกิดรอยย่นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้ 5 วิธีลดริ้วรอยและรอยย่นระหว่างคิ้ว วิธีการแก้ไขปัญหารอยย่นระหว่างคิ้วมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงการหัตถารต่าง ๆ มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยลดเลือนรอยย่นเหล่านี้ได้   1. ทาครีมบำรำรุงลดเลือนริ้วรอย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hyarulonic,  Retinol, Peptide หรือ Vitamin C ก็ฟื้นฟูผิวเสีย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น   2. ร้อยไหมลดรอยย่นระหว่างคิ้ว อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ปัญหารอยย่นระหว่างคิ้ว นั้นก็คือการร้อยไหม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการสอดเส้นไหมเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นไหมจะเข้าไปยกกระชับและกระตุ้นให้เกิดสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยย่นบริเวณระหว่างคิ้วดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด  อ่านบทความเกี่ยวกับการร้อยไหมเพิ่มเติม ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด? เพื่อตัวเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณ 3. โบท็อกซ์  การฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นระหว่างคิ้วนั้น จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้รอยย่นจางลงและป้องกันการเกิดรอยย่นใหม่ ผลลัพธ์จะเห็นได้ภายใน 3 – 14 วันหลังจากทำและเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือนเท่านั้น หากอยากรักษาความเรียบเนียนและดูกระชับไว้ แนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน   4. เลเซอร์ยกกระชับ เทคโนโลยีเลเซอร์สมัยใหม่สามารถช่วยลดรอยย่นระหว่างคิ้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Fractional ,IPL หรือ Pico Laser โดยจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น รอยย่นดูตื้นขึ้น ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ   5. ศัลยกรรมผ่าตัด

ไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม PLAN INFINITY โดดเด่นกว่าตัวอื่น
Interesting Facts

เปิดเผย! อะไรทำให้ Biostimulator โปรแกรม “PLAN INFINITY”  โดดเด่นกว่าตัวอื่น ๆ

ในยุคที่เทคโนโลยีความงามก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว “PLAN INFINITY” กลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ได้รับความสนใจจากคลินิกและผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวอย่างล้ำลึก แต่สิ่งที่ทำให้ “PLAN INFINITY”

ทำไมการ ร้อยไหม ถึงเป็นหัตถการปลอดภัย และมั่นใจได้?
Interesting Facts

Why is thread lifting a safe and reliable procedure?

การร้อยไหม เป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเกาหลี แพร่หลายสู่ยุโรป อเมริกา รวมทั้งประเทศไทย จากข้อจำกัดในอดีตของการปรับรูปหน้าและยกกระชับทำได้เพียงการผ่าตัดดึงหน้า ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเละมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

Interesting Facts

5 วิธีลดรอยย่นระหว่างคิ้ว คืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้า

เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยแห่งวัยก็เริ่มมาเยือนเราเรื่อย ๆ และยิ่งปรากฏให้เห็นเยอะขึ้น โดยเฉพาะรอยย่นระหว่างคิ้วที่ไม่เพียงทำให้ใบหน้าดูแก่ แต่ยังส่งผลต่อการแสดงออกทางสีหน้าที่อาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเรากำลังหงุดหงิดหรือไม่พอใจอีกด้วย วันนี้ Innovation Beauty จะพาคุณไปทำความรู้จักกับริ้วรอยแห่งวัยตรงช่วงหว่างคิ้วว่า มีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีการแก้ไขและรักษา เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ใบหน้าของคุณ  รอยย่นระหว่างคิ้ว คืออะไร รอยย่นระหว่างคิ้วเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อยเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยจะปรากฏเป็นร่องลึกในแนวตั้งระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณนี้ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้ว การแสดงสีหน้าต่าง ๆ หรือแม้แต่การเพ่งสายตามองจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน เมื่อเวลาผ่านไปรอยย่นเหล่านี้จะค่อย ๆ ฝังลึกจนกลายเป็นร่องถาวรที่มองเห็นได้แม้ในยามพักสีหน้า ส่งผลให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัยและอาจกระทบต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน  รอยย่นระหว่างคิ้ว เกิดจากอะไรบ้าง รอยย่นระหว่างคิ้วไม่ได้เกิดมากจากสาเหตุเดียว แต่เป็นผลมาจากหลายปัจจัยที่ส่งผลร่วมกัน ทำให้ผิวบริเวณนี้เสื่อมสภาพและเกิดรอยย่นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ดังนี้ 5 วิธีลดริ้วรอยและรอยย่นระหว่างคิ้ว วิธีการแก้ไขปัญหารอยย่นระหว่างคิ้วมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลผิวไปจนถึงการหัตถารต่าง ๆ มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยลดเลือนรอยย่นเหล่านี้ได้   1. ทาครีมบำรำรุงลดเลือนริ้วรอย การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hyarulonic,  Retinol, Peptide หรือ Vitamin C ก็ฟื้นฟูผิวเสีย เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ลดเลือนริ้วรอยและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น   2. ร้อยไหมลดรอยย่นระหว่างคิ้ว อีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการแก้ปัญหารอยย่นระหว่างคิ้ว นั้นก็คือการร้อยไหม แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการสอดเส้นไหมเข้าไปใต้ชั้นผิวหนัง จากนั้นไหมจะเข้าไปยกกระชับและกระตุ้นให้เกิดสร้างคอลลาเจน ทำให้รอยย่นบริเวณระหว่างคิ้วดูจางลงอย่างเห็นได้ชัด  อ่านบทความเกี่ยวกับการร้อยไหมเพิ่มเติม ร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด? เพื่อตัวเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาผิวของคุณ 3. โบท็อกซ์  การฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นระหว่างคิ้วนั้น จะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีด ทำให้รอยย่นจางลงและป้องกันการเกิดรอยย่นใหม่ ผลลัพธ์จะเห็นได้ภายใน 3 – 14 วันหลังจากทำและเห็นผลลัพธ์ชัดขึ้นเรื่อยๆ โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือนเท่านั้น หากอยากรักษาความเรียบเนียนและดูกระชับไว้ แนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุก ๆ 6 เดือน   4. เลเซอร์ยกกระชับ เทคโนโลยีเลเซอร์สมัยใหม่สามารถช่วยลดรอยย่นระหว่างคิ้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น Fractional ,IPL หรือ Pico Laser โดยจะเข้าไปช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น รอยย่นดูตื้นขึ้น ให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ   5. ศัลยกรรมผ่าตัด